เมื่อ 9 ปีก่อน ผมเริ่มวางแผนและหาทางออกจากกรุงเทพฯ ไปใช้ชีวิตในต่างจังหวัด (บล็อก: วิถีแห่งเจ้าสำนัก และ ตามหาสวนทูนอินของข้าพเจ้า) เลยคิดว่าต้องหาแนวทางการทำงานออนไลน์ ใช้เทคโนโลยีเพื่อให้เราทำงานที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ได้ (Virtual Office หรือ Remote Working)
ปัญหาและข้อจำกัด
ลองผิดลองถูกมา คิดว่าปัญหาหลักๆ ที่เจอคือ
- ความมีวินัยและต่อเนื่องของทีม
- ความสะดวกในการติดต่อของลูกค้า ต้องเป็นลูกค้าที่เข้าใจเราพอสมควร หรือเราต้องสร้างมูลค่ามากกว่าคนอื่นๆ อย่างชัดเจน
- ความโดดเดี่ยวของแต่ละคนที่ทำงานที่บ้าน เพราะเค้าจะรู้สึกเหมือนว่าเป็นฟรีแลนซ์มากกว่าเป็นทีม
- การเติบโตและพัฒนาของทีม เพราะเมื่อเจอกันน้อยลง แต่ละคนก็อาจจะหลุดจากเป้าหมายร่วมกัน หรือเลือกที่จะไม่พัฒนาตนเองเท่าที่ควร
ข้อดีที่พบ
แต่กระนั้น ก็มีข้อดีหลายๆ ข้อที่ได้มา
- ได้เวลาในชีวิตเพิ่มขึ้น อาจจะถึง 3-5 ชั่วโมงในแต่ละวัน
- ลดค่าใช้จ่าย ภาษีสังคม และความวุ่นวายหลายๆ อย่างไป
- สำหรับคนที่มีวินัย จะทำให้เค้าพัฒนาตัวเองได้มากขึ้น มีพลังชีวิตมากขึ้น
ข้อคิดที่ได้
เลยได้ข้อคิดต่อแนวทาง Remote Working ดังนี้
- ถ้าจะสร้างทีม ต้องเจอหน้าเจอตัวกันบ่อยๆ
- งานที่ทำแบบไม่เจอหน้ากันได้ ต้องเป็นงานที่มีรายละเอียด/กระบวนการชัดเจน แต่ละคนต้องมีทักษะ, วินัย และความรับผิดชอบสูงมาก มากพอที่ถ้าทำไปงานในออฟฟิศจะได้เงินเดือนสูงกว่า แต่เลือกทำที่บ้าน เพราะอยากได้อิสระหรือเวลาเพิ่ม
- ในทีมต้องรู้อยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่ คุยกันอย่างตรงไปตรงมา ห้ามเกรงใจ
- งานที่ทำ ต้องมูลค่าสูงกว่า หรือไม่มีทางที่แต่ละคนจะเอาไปรับฟรีแลนซ์ได้ ตัวอย่างคนที่ทำแล้วรอดคือ WordPress.com ส่วนคนที่ทำแล้วอาจไม่รอด คืองานเอเจนซี โปรดักชั่น
แนวทางในปัจจุบัน
ปัจจุบันย้ายมาอยู่ปาย เลยสร้างบริษัทด้วยแนวทางนี้
- เริ่มต้น ทุกคนต้องเรียนคอร์สออนไลน์ใน Seed Kit
- ถ้าเรียนจบบทที่ 4 และทำงานจริงได้ (ทำเว็บได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดนัก) จะปรับค่าแรงให้เป็นชั่วโมงละ 120 บาท (เงินเดือนประมาณ 14,000 – 24,000 บาท)
- หากจบบทที่ 9 และทำงานจริง (ทำเว็บได้แก้โค้ดได้) จบงานคนเดียวได้ จะปรับค่าแรงให้เป็นชั่วโมงละ 200 บาท (เงินเดือน 24,000 – 40,000 บาท)
- ถ้าอยากได้เงินเดือนสูงมากๆ ให้ตั้งเป้าอื่นเพิ่ม เช่นอีก 5 ปี จะมาบริหารบริษัทแทน, เปิดแผนกใหม่ หรือออกไปเปิดบริษัทของตัวเอง ถ้าน่าสนใจผมเองจะหุ้นด้วย
- ทำงาน 5 วัน วันละ 6 ชั่วโมง หรือ 12 Pomodoro ไม่นับเวลาอู้ เล่นเฟส (ลงเวลาด้วย Toggl) หากเลือกหยุดวันไหน ทำวันเวลาอื่นชดเชยได้อิสระ
- แต่ถึงขยัน ก็ไม่ควรเกินวันละ 8 ชั่วโมง เพราะเกินนั้นจะไม่มีประสิทธิภาพแล้ว (และจะได้เตรียมงบจ่ายเงินเดือนได้ด้วย คือเวลาทำงานจะอยู่ในช่วง 120 – 200 ชั่วโมงต่อเดือน)
- รับงานนอกได้ แต่งานบริษัทต้องสำคัญกว่า ถ้าจัดลำดับความสำคัญไม่ได้ จะถึอว่าไม่อยากเป็นทีม ให้เป็นฟรีแลนซ์แทน
- ประชุมทุก 10 โมงเช้า ห้ามเกิน 15 นาที ทุกคนรายงานว่าทำอะไรไป และจะทำอะไรต่อ (ใช้ Google Hangout เพราะทีมใช้ G Suite อยู่แล้ว)
- เจอหน้าและทำงานร่วมกันทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ ช่วงเย็น (ที่ออฟฟิศในปาย เพราะเดินทางสะดวก ชั้นบนมีที่นอนให้) แต่บางช่วงที่งานไม่ยาก ก็เปลี่ยนที่ทำงานไปที่อื่นได้ 1-2 สัปดาห์
- เปิดโปรเจ็คและตามงานใน Basecamp, คุยระหว่างวันใช้ Slack, ข้อมูลงานทั้งหมดเก็บใน Google Drive
- ทุกคนต้องใช้ Mac บริษัทจะซื้อให้ แล้วทะยอยผ่อนคืน พอเป็นคอมตัวเอง จะได้ดูแลเองให้ดี และ Mac ก็มีค่าใช้จ่ายระยะยาวน้อยกว่าด้วย
- ซอฟต์แวร์ทุกอย่างต้องถูกลิขสิทธิ์ บริษัทจะออกค่าใช้จ่ายให้ เช่น Adobe CC (ปีละ 2 หมื่นต่อชุด ชุดนึงใช้ได้ 2 เครื่อง), ShutterStock, Envato Elements, Final Cut Pro, ฯลฯ
สรุป
ปัจจุบันผมเองก็ไม่สามารถทำ Remote Working ได้ 100% ยังต้องมีการเจอหน้ากัน และมีพื้นที่ออฟฟิศให้ประชุมและทำงาน และสิ่งที่ทำอยู่ก็อยู่บนพื้นฐานความเชื่อใจกันพอสมควร ดังนั้นถ้าเป็นทีมขนาดใหญ่อาจจะมีปัญหาได้
แต่เท่าที่ทำมาถึงปัจจุบัน ก็พบข้อดีหลายด้าน ใช้พลังงานน้อย ได้ผลลัพธ์มาก เคยอ่านว่าเด็กรุ่นใหม่ อยากได้งานที่ “ทำงานได้ยืดหยุ่นเหมือนฟรีแลนซ์ แต่มีรายได้สม่ำเสมอเหมือนพนักงานประจำ” ซึ่งถ้าแลกกับเงินเดือนที่ไม่สูงเท่าตลาด หรือการต้องทำงานหนักในบางจังหวะ ผมคิดว่าก็สมเหตุสมผล และทำให้ทีมมีเวลาในด้านอื่นๆ ของชีวิตด้วย
ปล. ตอนนี้ยังไม่รับพนักงานเพิ่มนะฮะ ขอให้ระบบและงานต่างๆ ลงตัวก่อน แต่ปีหน้าอาจจะรับเด็กฝึกงาน เพราะไปทำ MOU กับมหาวิทยาลัยในเชียงใหม่ไว้
ปล. รวมๆ รูปมาเก็บไว้ เพราะมักมีคนคาดหวังว่าทำงานที่ไหนก็ได้ ควรจะต้องมีรูปทำงานนอกสถานที่ แต่จริงๆ เมื่อทำงานที่ไหนก็ได้ เราย่อมเลือกทำงานที่โต๊ะทำงานดีๆ เก้าอี้ดีๆ มากกว่าต่างหากฮะ ?
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น