ชีวิตในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

เนื่องจากไม่ได้เขียนบันทึกมานานมาก ขอสรุปรวมกันทีเดียวเลยละกันครับ ? มี 3 ประเด็นที่ครอบคลุมเรื่องราวชีวิตในช่วง 2 ปีนี้ นั่นคือ

1. ความรัก คู่ชีวิต และครอบครัว

ได้แต่งงานกับเอิน (เว็บ: EarnMenn.com)  สร้างบ้านกลางเมืองปาย มีครอบครัวที่อบอุ่น คุณอาของภรรยาย้ายมาอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ก็ดูแลอย่างดี ทำอาหารให้กินทุกมื้อ (ชีวิตหลังแต่งงานของผม เลยยังไม่เคยหิวข้าวเลย ? )

ภรรยาเป็นพยาบาลในปาย บางวันพอพักเที่ยงก็จะมากินข้าวด้วยกัน เพราะใช้เวลาเดินทางจากที่ทำงานมาประมาณ 2 นาทีตามประสาเมืองเล็กๆ ในต่างจังหวัด ส่วนผม ห้องทำงานอยู่หน้าบ้าน เดินไม่กี่ก้าวก็พร้อมเริ่มงานได้ เลยแทบไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน มีแค่ไปปั่นจักรยาน / เดินออกกำลังกาย / ดื่มกาแฟ / แช่น้ำแร่ ตามแต่โอกาส

อาชีพพยาบาลนั้นทำงานหนัก แต่มีเวลาหยุดพักร้อนครั้งละ 10 วัน 2 ครั้งต่อปี ส่วนผมเองตารางค่อนข้างอิสระอยู่แล้ว ทำให้เราวางแผนวันหยุดและเดินทางร่วมกันได้ไม่ยากนัก

คุณอารับเลี้ยงเด็ก 2 คน ทำให้ที่บ้านมีเด็กให้เล่นตลอด และคนแก่ก็ไม่เหงา

ปล. เวลาปลอบเด็กในปาย เราจะไม่บอกว่าพาไปเดินห้าง เพราะปายไม่มีห้าง แต่ต้องบอกว่า ถ้าทำตัวดี เดี๋ยวพาไปดูช้างนะ ?

2. การงาน บริษัท และทีมงาน

ได้ก่อตั้งบริษัท ซี้ด ธีมส์ (เว็บ: SeedThemes.com) จากความช่วยเหลือของผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน ซึ่งมองว่า โปรเจ็คนี้มีโอกาสเติบโตได้สูง สามารถสร้างงาน สร้างอาชีพให้เด็กรุ่นใหม่ได้

กับได้มีโอกาสเจอเด็กแม่ฮ่องสอนที่เคยสอนสมัยมัธยมเมื่อ 8 ปีที่แล้วตอนเป็นครูอาสาให้เนคเทค ไปเรียนจบที่แม่โจ้มา ผมเลยดึงตัวมาทำงานด้วย 2 คน / ดึงน้องในปายที่เรียนด้านไอทีมาร่วมงาน 1 คน / และคนล่าสุด ยังเรียนอยู่ปี 2 บอกว่าติดตามผมมาตั้งแต่ ป. 6 – มาสมัครงานโดยขอไปเรียนเชียงใหม่เสาร์อาทิตย์แทน

น่าสังเกตว่าเด็กรุ่นใหม่หลายคน ไม่ได้สนใจปริญญาและสถาบันการศึกษาแล้ว แต่สนใจว่าเค้าจะได้ความรู้อย่างไร และสร้างอาชีพได้อย่างไร

ตอนนี้เลยมีทีมงานที่ปายรวมผมด้วยเป็น 5 คนละ คงไม่ได้รับเพิ่มในเร็วๆ นี้ ขอจัดการระบบให้นิ่งก่อนฮะ

ส่วนเรื่องงาน พอเน้นทำสินค้า (Product) มากกว่ารับงานโครงการ (Project) ก็ทำให้รู้สึกท้าทายและมีความสุขมาก

ทุกวันที่ตื่นขึ้นมา คือการคิดว่า วันนี้เราจะทำอะไรให้งานของเราดีขึ้นได้อีก ไม่ต้องเจอสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ หรือการทะเลาะต่อรองกันโดยไม่ได้พัฒนางานให้ดีขึ้น

และเมื่อรักษาองค์กรให้เล็ก ในอีกสิบกว่าปีผมเองก็อาจจะเกษียณและปิดบริษัทไป น้องๆ ก็มีทางเลือกว่าจะเอาบริษัทไปบริหารต่อ หรือจะสร้างกิจการของตนเอง ดังนั้น ไม่ต้องเสียเวลากับเรื่องดราม่าไร้สาระ ประจบประแจงใคร ทำงานและพัฒนาตัวเองไปดีกว่า ถ้ามีความสามารถ ก็จะมีความมั่นคงตามมาเอง

3. การศึกษาธรรมะ และปฏิบัติภาวนา

หลายปีก่อน กัลยาณมิตรผู้เป็นศิษย์หลวงพ่อปราโมทย์ ได้อัพเดทสถานะว่า นั่งสมาธิครึ่งชั่วโมงทุกวัน ติดต่อกัน 1 ปีแล้ว – ผมเอง ณ วินาทีนั้นพลันเกิดคำถามกับตนเองเลยว่า แล้วเรากำลังทำอะไรอยู่?

เลยเคร่งครัดกับการรักษาศีล 5 และปฏิบัติภาวนาให้สม่ำเสมอมาตลอดในช่วง 2 ปีนี้ ทั้งการทำในรูปแบบ (นั่งสมาธิ – ส่วนใหญ่จะเป็นยามเช้า) หรือการมีสติในชีวิตประจำวัน (รู้สึกตัว – เช่นเมื่อลุกออกจากโต๊ะ หรือเดินไปชงชา)

เริ่มพบเหมือนที่ลูกศิษย์ท่านอื่นๆ เคยกล่าวไว้ คือ “โลกนั้นจืดลง แต่สัมผัสนั้นละเอียดขึ้น มีความสุขและพลังชีวิตมากขั้น”

หลวงพ่อปราโมทย์มักจะเทศน์บ่อยๆ ว่า การได้มาปฏิบัติภาวนานั้น แสดงว่าไม่ใช่ชาติแรกหรอกนะ ในเมื่อมีโอกาสขนาดนี้แล้วก็อย่าปล่อยให้เสียเปล่า

เลยอยากชวนผู้ที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ว่า ได้มีโอกาสพบพระพุทธศาสนาแล้ว มาศึกษาและปฏิบัติกันเถิด อาจจะเริ่มต้นที่บันทึก “รู้จักความรู้สึกตัว” ก็ได้ เมื่อเข้าใจโลกและชีวิตมากขึ้น ความทุกข์ก็จะน้อยลงอย่างน่าประหลาดใจ

ปล. ขอแนบรูปพระอาจารย์ 2 ท่านดังนี้

  1. หลวงพ่อปราโมทย์ (รูปซ้ายจาก YouTube) สำหรับผมแล้ว ท่านเหมือนฝ่ายบู๋น เห็นแล้วระลึกถึงพระสารีบุตร
  2. พระอาจารย์สาคร (รูปขวาจาก ลานธรรมจักร) ที่รับผมบวชในช่วงอายุ 20 ท่านเหมือนฝ่ายบู๊ เห็นแล้วระลึกถึงพระโมคคัลลานะ

ข้อคิดที่ได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้

  1. คนส่วนใหญ่เมื่อเจอปัญหาจะมีความทุกข์, พุทธศาสนาสอนว่า ปัญหาและความทุกข์เป็นคนละส่วนกัน ชีวิตอาจจะเจอปัญหา แต่เราเลือกที่จะทุกข์หรือไม่ทุกข์ได้เสมอ
  2. ความสุขที่แท้จริงนั้นไม่อิงอาศัยสิ่งใด ถ้ายังต้องฝากชีวิตหรือผูกความสุขไว้กับใครหรืออะไร ความสุขนั้นก็จะเป็นแค่เรื่องชั่วคราวเสมอ
  3. เรื่องงาน – ทำงานวันละ 6 ชั่วโมง (ไม่นับเวลาอู้) หรือ 12 Pomodoro เป็นตัวเลขที่เหมาะสมดี เลยเป็นแนวทางสำหรับทีมงานไปด้วย
  4. ส่วนที่เคย บันทึกใน SELF Journal ก็คลี่คลายมาเป็นการนั่งสมาธิ สวดมนต์ แผ่เมตตาในทุกๆ วัน กับวางแผนงานผ่าน Basecamp (ลองตัวอื่นแล้วก็ต้องกลับมาตายรังทุกที)
  5. ส่วนการทำงานเป็นทีม ประทับใจ Slack โปรแกรมแชทที่เชื่อมระบบต่างๆ ได้สารพัด ทั้ง Field Trip ที่ดึงข้อมูล Basecamp มาแสดง หรือ DigitalOcean Monitoring, CloudwaysBot ที่คอยแจ้งเตือนเกี่ยวกับ Server, ในทีมเลยใช้ Slack เป็นหลัก ไม่ต้องเปิด Line, Facebook เลยทำให้เข้าโซเชียลน้อยลงไปด้วย
  6. เข้าโซเชียลน้อยลง ดูหนังฟังเพลงน้อยลง จิตใจก็อยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้น เมื่อคลุกคลีน้อยลง ชีวิตก็สงบสุขมากขึ้น

ความฝันที่ยังเหลืออยู่

ตอนนี้อายุ 40 แล้ว หลายสิ่งก็ทำสำเร็จไปแล้ว หลายสิ่งก็เปลี่ยนแปลงความคิดไปแล้ว สิ่งที่ยังมุ่งมั่นทำอยู่ ก็น่าจะมี

  1. อายุ 45 อยากจะสร้างบริษัทและ Muse Foundation ให้ใหญ่พอที่จะสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้เด็กรุ่นต่อๆ ไปได้, อยากสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้ซัก 5-10 เท่า, อยากผลักดันให้ทีมออกไปสร้างบริษัทของตัวเองได้
  2. อายุ 50 อยากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับระบบการศึกษาของประเทศนี้ (พูดซะใหญ่โต จริงๆ ถ้าได้สร้างคอร์สออนไลน์, Flipped Classroom, หรือระบบการเรียนรู้ดีๆ ก็พอใจละ)
  3. อายุ 70 ถ้ายังไม่ตายซะก่อน อยากเข้าใจโลกและชีวิตมากพอที่พระพุทธเจ้าจะเรียกว่า เป็นผู้​ “มีสติปัญญาเล็กน้อย”

ก็คงต้องติดตามกันต่อไป หวังว่าจะได้อัพเดทบล็อกบ่อยขึ้นนะฮะ ?